ฉันเกิดที่จังหวัดภาคอีสาน เมื่อเรียนจบชั้นประถมเจ็ด ตามบังคับของทางการแล้วฐานะทางบ้านก็ไม่เอื้ออำนวยให้ฉันได้เรียนต่อ ฉันจึงขออนุญาตพ่อแม่ เดินทางมาทำงานที่โรงงานแห่งหนึ่งในจังหวัดสระบุรี
คนที่พาฉันมาฝากงานคือ “พี่ดำ” เป็นลูกน้าสาว ตามหลักแล้วฉันต้องเป็นพี่แต่พี่ดำอายุมากกว่าฉันเรียกเขาพี่มาตั้งแต่เล็ก
แม้ว่าโรงงานแห่งนั้นจะมีคนมากก็จริง แต่ฉันก็ไม่ชอบสุงสิงกับใคร วันหยุดออกกะงาน แล้วก็นอนอยู่ในห้องพัก พี่ดำเธอทำงานก่อนฉันหลายปี จึงมีเพื่อนมากมาย ถึงวันหยุดของเธอก็ออกไปเที่ยวกับเพื่อนเธอชวนฉันไปด้วยเหมือนกันทว่าฉันไม่ชอบไปกับใคร
การนอนอยู่แต่ในห้องพักของโรงงาน เพื่อนแก้เหงาของฉันก็คือ หนังสือ ฉันอ่านหนังสือทุกประเภทที่มีอยู่ในห้องนั้น ซึ่งคนอยู่เก่าซื้อเอาไว้เป็นตั้งๆตอนนั้น “ชีวิตรัก” ยังไม่มีหรอกนะคะ เพราะเหตุการณ์มันเกือบสอบปีแล้ว
จากการอ่านหนังสือนี่เองทำให้ฉันรู้จักเขียนจดหมายติดต่อมิตรสัมพันธ์ฉัน เห็นชื่อที่อยู่ใครประกาศหามิตรก็เขียนไปสมัครเป็นเพื่อนเป็นมิตรกับเขา ถูกแล้ว...ฉันเลือกติดต่อกับมิตรที่เป็นชาย
เพื่อนในวัยสาวรุ่นตอนนั้นก็ปรารถนาจะมีแฟน อยากจะมีคนรักเหมือนเพื่อนๆอีกหลายคนนั้นเอง!
นานเดือนที่ฉันเล่นมิตรสัมพันธ์ทางจดหมายมิตรชายคนไหนเขียนไม่ดีหรือไม่ขยันตอบจดหมายฉันก็เลิกติดต่อเป็นรายๆจนกระทั่งในที่สุดฉันก็เลือกติดต่อกับผู้ชายคนเดียวเท่านั้น
เขาชื่อ “ชุมพล” ทีแรกเขาไปซาอุฯ แต่ตอนหลังย้ายไปหน่วยงานสาธารณรัฐอาหรับ ฉันติดต่อกับชุมพลทางจดหมายหลายฉบับ เกือบปีผ่านไปจึงทำให้รู้เรื่องชีวิตของเขาว่า
เขาเป็นคนโคราชอยู่ไม่ไกลจากโรงงานที่ฉันทำมากนัก ครอบครัวของเขามีปัญหาพ่อแม่แยกทางกัน เขาอยู่กับพ่อและพ่อก็มีเมียใหม่ เขามีปัญหากับแม่เลี้ยง
พอเรียนจบอาชีวะเขาก็หนีพ่อกับแม่เลี้ยงมาทำงานในกรุงเทพฯ เคยมีรักกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกสาวพ่อค้าใหญ่ก็อกหัก แม้ทั้งสองจะรักกันจริง แต่พ่อแม่ของเธอก็ไม่รักเขา เพราะฐานะของเขายากจน
เจาจึงดิ้นรนไปทำงานตะวันออกกลางหวังสร้างตัวสร้างฐานะกระทั่งได้รู้จักกับฉันทางจดหมายดังกล่าว
ฉันฟังเรื่องราวของเขาแล้วก็ให้สงสารเห็นใจมาก แล้วมันก็ฟักตัวเป็นความรักอย่างรวดเร็ว เขาบอกรักฉันทางจดหมายก่อน ฉันก็ตอบรับเขาไป เราต่างคนก็ต่างให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
ถึงขั้นเรียกว่าสัญญาจะแต่งงานกันเมื่อเขากลับมาจากอาหรับ!
เกือบสองปีแล้วที่เราติดต่อกัน ใกล้วันกลับของเขาเต็มทีเราก็มีการติดต่อกันถี่มาก เรียกว่าส่งจดหมายเป็นรายสัปดาห์เลยทีเดียว เพื่อนบางคนล้อฉันว่าฝันหวานจะเป็นคุณนายจากซาอุฯบ้าง บางคนก็ว่าฉันเพ้อเกินไป เขาอยู่แดนไกลก็ปากหวานพรรณนาไปอย่างนั้น ลองกลับมาเมืองไทยเถอะเขาคงไม่มาหรอก
ฉันก็เถียงเพื่อนว่า...เขาต้องมาหาฉันตามสัญญาแน่นอน
พี่ดำก็เป็นห่วงมาก กลัวฉันจะถูกเขาหลอก เธอก็เตือนฉันเสมอ แต่ฉันมั่นใจเขาแล้ว ใครจะพูดอย่างไร ติติงแบบไหนฉันไม่ฟังเสียหรอก
ชุมพลบอกมาทางจดหมายว่าเขาจะกลับถึงเมืองไทยวันที่ 20 มีนาคมปีนั้น เขาบอกว่าไม่ต้องไปรับถึงเมืองไทยหรอกลำบากเปล่าๆเพราะเครื่องบินอาจถึงตอนดึก
เขาบอกว่าวันที่21 หรือ 22 จะมาหาฉันที่โรงงานอย่างแน่นอน!
ฉันตื่นเต้นดีใจชนิดที่เรียกว่ากินไม่ได้นอนไม่หลับเลยทีเดียว เฝ้านับวันนับชั่วโมงรอกำหนดเขามา เราจะได้พบหน้ากันแล้วคราวนี้หลังจากที่รู้จักกันทางจดหมายนานถึงปีกว่า
ฉันมั่นใจว่าเขาจะมาหาฉันถึงขนาดจองบัตรนำเที่ยวสองที่นั่ง ซึ่งเพื่อนจัดนำเที่ยวบางแสน-พัทยา ในวันที่ 25 เดือนเดียวกัน ไว้เผื่อเขา ถ้าเขามาเราก็คงจะได้ไปเที่ยวด้วยกันอย่างมีความสุข
วันที่20 มีนาคม มาถึงแล้ว ฉันตื่นเต้นจนทำงานไม่ได้ผล สายตาเหลือบชำเลืองมองนาฬิกาอยู่บ่อยๆว่าเขาจะมาถึงเมืองไทยหรือยังนะ...ถ้ามาแล้วในห้องพัก ขณะนี้เขาอยู่ที่ไหนนะ?
วันที่21 มีนาคม ฉันลาหยุดงานหนึ่งวันแต่งตัวด้วยชุดเสื้อผ้าที่ดีที่สุดเท่าที่จะสามารถแต่งได้ นั่งนอนตื่นเต้นระทึกใจอยู่ในห้องพัก คิดว่าไม่นาทีใดก็นาทีหนึ่งจะมีคนมาเรียกว่ามีคนมาพบ...
แล้วผู้นั้นจะต้องเป็นเขา...ชุมพล
แต่วันนั้นก็ผ่านพ้นไปอีกยังไม่ได้มีโอกาสพบเขา...เขายังไม่มา ฉันก็ได้แต่ดูหน้าเขาในรูปที่มอบให้ไว้เท่านั้น
เพื่อนบางคนเริ่มหัวเราะเยาะ...เห็นไหมล่ะบอกแล้วว่าเขาจะต้องหลอก เขาไม่มีทางมาตามสัญญาลมๆแล้งๆนั่นหรอก
ฉันต้องแอบหนีเพื่อนไปนั่งร้องให้ในห้องคนเดียว ทำไมนะ...ทำไมเขาจึงไม่มา แต่ฉันก็คิดไปในทางดีว่าเขาคงติดธุระจำเป็นอยู่ที่ไหนสักแห่งหรืออาจจะเลื่อนกำหนดวันเดินทางก็ได้
วันที่22 ก็ผ่านไปด้วยความเหงาและผิดหวังของฉันอีกวันหนึ่ง!
ถึงเย็นวันที่23 ฉันเกือบจะบอกคืนบัตรนำเที่ยวไปแล้ว เพราะเพื่อนบอกว่าถ้าไม่ไปก็คืนได้เขาจะนำไปขายคนอื่นต่อ แต่แล้วฉันก็ดีใจที่สุดในชีวิตเมื่อเขาปรากฏกายขึ้นในโรงงาน
ฉันเกือบจะร้องไห้ด้วยความดีใจฉันเอาชนะคำสบประมาทที่เพื่อนพูดเอาไว้แล้ว
ชุมพลดูเรียบร้อย เงียบขรึม สมลักษณะที่เขาพูดคุยบอกมาในจดหมายเขาไม่ใช่คนรูปหล่อแต่ก็พอมีเสน่ห์จะดึงดูดใจนิยมชมชอบจากฉันได้เขาขอโทษที่มาผิดนัดหนึ่งวันเพราะกลับบ้านที่โคราชก่อนแล้วจึงย้อนกลับมาที่นี่
เขาชวนฉันไปเที่ยวและหาอาหารทานกันในตัวเมืองสระบุรี เขาบอกว่าจะเลี้ยงเต็มที่ ถ้าฉันไม่ไว้ใจเขาเพราะเราเพิ่งพบหน้าเห็นตัวกันครั้งแรกทั้งนี้ ฉันจะชวนเพื่อนที่ร่วมงานไปสักสี่ห้าคนก็ได้
ฉันคิดว่าเจตนาของเขาก็บริสุทธิ์ดีเหมือนกันจึงตกลงชวนพี่ดำ แต่พี่ดำก็ต้องเข้าทำงานกะดึกคืนนี้ขอเธอนอนพักก่อนดีกว่า เขาจึงให้ฉันชวนเพื่อนคนอื่นไปอีกสองคน
เขาพาฉันไปเริ่มต้นด้วยอาหารมื้อเย็นที่สวนอาหารแห่งหนึ่งในตัวเมืองสระบุรี สี่คนดื่มเบียร์พอครึมๆใจสามขวด ส่วนมากเขาเป็นฝ่ายดื่ม ส่วนฉันกับเพื่อนคนละแก้วเท่านั้น
จากนั้นก็เข้าดูหนังรอบทุ่ม ออกมาเข้าห้องอาหารประเภทคาเฟ่มีนักร้องขับกล่อมเขาขออนุญาตฉันกับเพื่อนสนุกสักวันเพราะระหว่างที่อยู่อาหรับไม่เคยพบกับบรรยากาศของสถานรื่นเริงแบบนี้ ฉันกับเพื่อนก็เห็นใจและตามใจเขา
ออกจากคาเฟ่เกือบเที่ยงคืน เขาก็เหมารถสองแถวให้ไปส่งฉันกับเพื่อนที่โรงงาน ส่วนตัวเขาขอเที่ยวหาความสำราญในยามราตรีของเมืองสระบุรีต่อไป เพื่อนแอบกระซิบกับฉันว่าสงสัยเขาจะต้องนอนกับผู้หญิงในโรงแรมแน่ๆ ฉันไม่หึงหวงหรือ
ความจริงคำท้วงของเพื่อนนั้นฉันก็คิดอยู่เหมือนกัน ผู้ชายลองว่าห่างรสสัมผัสกับต่างเพศมาจากแดนไกล ร้อยทั้งร้อยย่อมจะเที่ยวผู้หญิงเที่ยวโรงแรมทั้งนั้น แต่ฉันจะห้ามหวงเขาได้อย่างไรจะอยู่กับเขาก็ไม่ได้ไม่เหมาะด้วยเหตุผลหลายๆประการ
ฉันกับเพื่อนจึงนั่งรถกลับ และนัดพบกันเช้าวันที่ 25 เพื่อจะได้ไปนำเที่ยวบางแสน –พัทยา ให้มีความสุขสดชื่นตามประสาคนรักกันอีกครั้ง !
แล้วที่บางแสนนั่นเอง เขาก็กระซิบชวนให้ฉันแยกตัวจากรถนำเที่ยวเพื่อหาความสุขจากการท่องเที่ยวกันตามลำพัง ฉันรักและปรารถนาจะอยู่ใกล้ชิดกับเขาสองต่อสองเป็นทุนเดิมอยู่แล้วฉันจึงขอตัวแยกจากเพื่อน บอกเพื่อนว่าไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะกลับพร้อมชุมพล
และด้วยความรักที่ล้นดวงใจมันอัดแน่นเอาไว้เป็นนานปี อารมณ์สาวอารมณ์ต้องกาสรยามอยู่ใกล้ ฉันก็ยินยอมเสียตัวให้เขาที่โมเต็ลแห่งหนึ่งไม่ห่างจากบางแสน ดินแดนที่แสนสุขในวันนั้น
ในวันรุ่งขึ้น เขาก็พาฉันเดินทางเข้ากรุงเทพฯ อีกวันและคืนหนึ่งก่อนจะส่งฉันเข้าโรงงานที่สระบุรี
จากนั้นก็มีการนัดกันเที่ยวในทุกๆ วันหยุดของฉัน เขาแสดงความรับผิดชอบ จริงใจ บอกว่าจะไปขอในเร็วๆนี้ โดยมีสร้อยทองคำหนักหนึ่งบาทซื้อให้ฉันสวมใส่ไว้เป็นมัดจำก่อนเส้นหนึ่ง
ยังไม่ถึงเวลาที่เขาไปสู่ขอก็ปรากฏว่าฉันท้อง !
ประจำเดือนขาดเป็นเดือนที่สอง ฉันก็บอกให้เขารู้ ชุมพลดีใจเขาบอกว่าลูกคนนี้ให้คุณจริงๆเขาได้งานบริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ จะต้องเดินทางไปรายงานตัววันพรุ่งนี้
เขาบอกให้ฉันอดใจรอ เดือนหน้าจะมาจัดการสู่ขอให้เรียบร้อย ฉันก็รับคำเชื่อสนิทว่าเขาจะทำตามสัญญา !
แต่...หนึ่งเดือนก็แล้ว...สองเดือนก็แล้ว เขาไปทำงานในกรุงเทพฯ แบบลับหายไม่ส่งข่าว จดหมายก็ไม่เคยมี ทั้งๆ ที่ตอนอยู่อาหรับเขาขยันเขียนอย่างที่สุด ฝ่ายฉันจะติดต่อไปก่อนก็ไม่ได้เพราะไม้รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนนั่นเอง
ท้องก็โตขึ้นทุกวัน แล้วฉันจะทำอย่างไร !
ฉันค้นหาจดหมายฉบับเก่าๆ ที่เขาเคยเขียนคุยกับฉัน นั่งหานั่งอ่านจนพบว่าบ้านเขาอยู่ที่โคราชนั้นชื่อหมู่บ้านอะไร ตำบลอะไร ฉันตัดสินใจเดินทางไปยังหมู่บ้านนั้น แม้จะไม่รู้เลขที่บ้านก็หาไม่ยากนัก คนบ้านนอกมักจะรู้จักกันทั่วย่านถามถึงชื่อชุมพลเคยไปทำงานอาหรับ ชาวบ้านก็ชี้ทางให้สอบถามต่อๆไป
ในที่สุด...ฉันก็ไปถึงบ้านของเขา !
ปรากฏว่าชุมพลอยู่ที่บ้าน ที่เขาบอกว่าจะไปทำงานบริษัทในกรุงเทพฯ นั้นมิได้ไปเลย เขาทำไร่อยู่ที่นั่นต่างหาก ที่บอกว่าครอบครัวของเขามีปัญหาพ่อแม่แยกกันก็ไม่เป็นความจริง เขายังอยู่กับพ่อแม่ญาติพี่น้องพร้อมหน้า
และที่สำคัญ เขามีลูกเมียอยู่แล้ว ลูกเขาคนโตอายุถึง 8ขวบ นั่นแสดงว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเขียนพรรณนาจากอาหรับมาจนฉันเกิดความสงสารเห็นใจรักใคร่เขานั้น...
เป็นเรื่องที่เขาเสกสรรปั้นแต่งขึ้นหลอกฉันทั้งสิ้น !
เขาปฏิเสธเสียงแข็งต่อหน้าพ่อแม่ลูกเมียของเขาว่าไม่เคยรู้จักฉันเลยว่าเป็นใครมาจากไหนเขาทำไม่รู้ไม่ชี้ไม่รับผิดชอบใดๆ ซ้ำยังพูดใส่หน้าให้ฉันได้อายว่าหน้าด้าน ขี้ตู่หาว่าเขาเป็นผัว !
ฉันร้องไห้เสียใจกลับมาโรงงาน ในที่สุดเพื่อนๆ และพี่ดำก็เป็นฝ่ายถูกต้องที่ทำนายไว้ว่า...เขาจะหลอกลวงฉัน !
ฉันทั้งเจ็บทั้งอาย ถ้าไม่มีท้องก็ไม่เท่าไหร่แต่นี่มีท้องฉันจะแก้ปัญหาอย่างไร พี่ดำคือที่ปรึกษาใกล้ชิดของฉัน เธอบอกให้ฉันไปเอาเด็กออกเสียก่อนที่ทางบ้านจะรู้ ฉันก็กลัวพ่อแม่รู้จึงขอร้องให้พี่ดำช่วยปิดข่าวนี้ไว้ด้วย อย่าบอกทางบ้านเป็นอันขาด
พี่ดำรับคำว่าจะช่วยปิดข่าวและให้ฉันไปทำแท้งกับหมอเถื่อน โดยเอาสร้อยคอที่ชุมพลให้ไว้ไปขาย ก่อนจะทำหมอบอกว่าถ้าท้องฉันถึง 5 เดือนเด็กเป็นตัวแล้วคงจะยากในการทำแท้ง
มีทางเดียวคือการทำให้เด็กตายหรือไม่ก็คลอดก่อนกำหนด ซึ่งอันตรายและเสี่ยงมาก เขาถามความสมัครใจฉันว่าจะยอมเสี่ยงไหม!
ฉันไม่มีทางเลือก รู้ทั้งรู้ว่าอันตรายเสี่ยงต่อชีวิตตนเอง ผิดทั้งกฎหมายบ้านเมือง ผิดทั้งศีลธรรมประเพณี แต่ฉันไม่มีทางเลือกอื่นใด ต้องตัดสินใจให้หมอเถื่อนทำ
ในใจคิดว่าถ้าจะตายเป็นตาย ในเมื่อฉันผิดพลาดไปอย่างนี้ ฉันอยากเชื่อเขาง่าย ยอมทอดกายให้เขาง่ายๆ ถ้าหมอเถื่อนจะทำให้ฉันตายไปพร้อมลูกก็สมควรอย่างยิ่งแล้ว !
ฉันจะไม่บอกนะคะว่ากรรมวีที่หมอทำกับฉันเป็นอย่างไร บอกได้แต่เพียงว่าเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส แต่ฉันก็ไม่ตาย เด็กในท้องก็ไม่ยอมออกและไม่ตายด้วย แม้จะทำถึง 2 ครั้ง 2วันก็ตาม !
ฉันหมดเงิน หมดปัญญา ต้องปล่อยให้ท้องโตตามยถากรรมและธรรมชาติของชีวิต ท้องแก่ใกล้คลอดแล้วฉันทำงานไม่ได้ ก็ได้พี่ดำนี่แหละช่วยเหลือให้ความอาทรห่วงใยพาไปโรงพยาบาลเมื่อเจ็บท้อง
ฉันคลอดลูกออกมาเป็นชาย น่าดีใจไม่น้อย แต่ฉันกลับไม่ดีใจเลยสักนิดเดียว เพราะลูกของฉันเกิดมาพิการ ปากแหว่ง จมูกโหว่ หมอลงความเห็นว่าเป็นผลมาจากการทำแท้งนั่นเอง
ตอนแรกฉันก็ไม่ยอมรับหรอกค่ะว่าเคยทำแท้งมา กระทั่งหมอซักถามหนักเข้าปิดไม่ได้นั่นแหละจึงต้องสารภาพ หมอก็ตำหนิอย่างมากมาย ฉันต้องรับความอับอายหมอเป็นอย่างมาก
ฉันอยากจะทิ้งลูก อยากจะฆ่าลูกคนนี้เสียจริงๆ แต่ก็ไม่สามารถฆ่าได้เหมือนใจคิด พี่ดำดูเหมือนจะรู้ซึ้งถึงจิตใจฉันดีกว่าฉันคิดอย่างไรกับลูก จึงอาสารับลูกฉันไปส่งให้แม่ที่บ้านเลี้ยง
แล้วฉันก็ทำงานที่โรงงานแห่งนั้นต่อไปอีกราวปีกว่าๆ ก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯหางานใหม่ที่มันได้เงินดีกว่าเป็นสาวโรงงาน ค่ะ...ฉันมาเป็นหมอนวดถึงขณะนี้ได้ 4-5 ปีแล้ว
ฉันไม่เคยกลับบ้านไปหาแม่ ไม่เคยกลับไปหาลูกเลย นอกจากจะส่งเงินไปให้เท่านั้น ฉันอายคนอื่น ฉันเกลียดลูก....ลูกที่เกิดมาจากเดนรักแดนอาหรับ !
เรื่องชีวิตของฉันจึงเป็นบทเรียนสำหรับสาวๆรายอื่นที่อ่านได้เป็นอย่างดี ยามที่ติดต่อมิตรทางจดหมายกับผู้ชาย อย่าเพิ่งเชื่อใจเขาง่ายๆ พบหน้ากันครั้งสองครั้งอย่าคิดว่าเขาจะมั่นคงจริงใจ
เขาอาจจะหลอกให้เราหลงลม ได้ชื่นชมสมใจแล้วก็ทิ้ง หรือไม่ก็ไปเจอคนที่มีลูกเมียอยู่แล้วอย่างฉัน จนกระทั่งทำให้ฉันเป็นแม่ที่ใช้ไม่ได้ในทุกวันนี้ ถ้าจะประณามก็เชิญเถิดค่ะ...ฉันยอมรับคำประณามทุกประการ !
แต่ฉันจะไม่ยอมรับลูกมาเลี้ยงเองเป็นอันขาด สภาพหน้าตาของเขาบาดใจฉันนัก ทางที่ฉันจะทำได้ดีที่สุดก็คือ ส่งเงินให้แม่ของฉันเลี้ยงเขาไปตามมีตามเกิดเท่านั้นเอง
ค่ะ...เป็นวิธีที่ดีที่สุดของฉัน แต่ในความคิดของคุณผู้อ่าน มันเป็นวิธีที่เลวที่สุดใช่ไหมคะ ?.
เพราะรัก ผมยักยอกเงินค่าก่อสร้างเมรุมาใช้เป็นค่าสินสอดก่อนแล้วกะจะสร้างให้ดีทีหลัง ผมสร้างผิดแบบใส่ปูนน้อยกว่าทราย แม่ผมตายไปเผาเป็นศพแรก ร่างแม่ยังไม่ทันไหม้ เมรุแตกพังถล่มลงมา อนิจจา เมรุรัก
ความรักทำให้คนดีกลายเป็นคนร้ายฉันใด ความรักก็ทำให้คนร้ายกลายเป็นคนดีได้ฉันนั้น เช่นกันกรณีของผมกับตะวัน ใครจะตัดสินว่าร้ายหรือดีอย่างไรผมยกให้อยู่ในดุลพินิจของความคิดความรู้สึกส่วนตัวของคุณแต่ละคน เพราะเรื่องราวมันผ่านไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงร่องรอยที่ไม่มีวันหายไปจากใจของคนอย่างผม
ตะวันเป็นคนดี เพราะความเป็นคนดีนั่นแหละที่ทำให้ผมเสียใจนัก ที่พาชีวิตของตะวันตกต่ำ ผมแค่กรรมกรก่อสร้างที่ไต่เต้ามาเป็นหัวหน้ารับเหมางานก่อสร้างเล็กๆ มีลูกน้องสามสี่คนจากอีสานดินแดนแห้งแล้ง ผมได้มาอยู่เมืองอยุธยาที่เป็นเมืองพระคนใจดีมีเมตตาโอบอุ้มจนชีวิตผมมีความกินดีอยู่ดี
ตะวันเป็นลุกสาวเจ้าของโรงสีที่มีเรือค้าข้าวหลายลำฐานะเทียบกันไม่ได้เลย แต่ตะวันก็รักผม ตะวันขอเพียงให้ผมไปสู่ขอเธอเท่านั้น สินสอดทองหมั้นหากพ่อเรียกมากมายนักก็จะช่วยหามาให้จนพอแต่ง
ผมหางานตัวเป็นเกลียวงานเล็กงานใหญ่รับหมดเพื่อเงินบุญเหลือเกินที่ได้งานสร้างเมรุที่วัดแห่งหนึ่ง หลวงพ่อท่านรู้จักกับตะวัน ตะวันแนะนำให้ท่านจ้างผมสร้างเมรุหลังใหม่แทนหลังเก่าที่ล้าสมัย และชำรุดจนเวลามีงานศพทีก็ทุลักทุเลเป็นอย่างมาก
“สามแสนคงพอนะโยม อย่าเอากันมากเลย ค่าแรงอะไรก็ช่วยๆ กันไปแบบตามนี้แหละ”
หลวงพ่อกางแบบเมรุให้ดู ซึ่งผมยิ้มหวานทันที งบประมาณพอสู้ได้ วัสดุอุปกรณ์อะไรกึงไม่แพงนักหรอก ผมมองหาหนทางหาเงินไปแต่งงานได้ในนาทีนั้น
พ่อของตะวันเรียกเงินสินสอดสองแสนทองสิบบาท ครั้งแรกผมมองไม่เห็นทางหรอก เพิ่งมามองเห็นทางตอนหลวงพ่อท่านจ่ายเงินสดให้ผมมาสามแสนเป็นเงินสดๆ สองแสน อีกแสนหนึ่งเป็นเช็คที่สามารถไปเบิกได้เลยทันที
ผมได้เงินแต่งงานแล้ว แต่ผมจะไม่บอกให้ตะวันรู้ว่าเอามาจากไหนผมตรงดิ่งไปหาเจ้าของร้านวัสดุก่อสร้างที่รู้จักกันทันที
“เฮีย ผมมีงานสร้างเมรุนะหลายแสนเชียวล่ะ แต่หลวงพ่อยังไม่จ่ายเงิน ต้องรอเสร็จก่อนผมจะมาเอาของไปสร้างเอาไปก่อนเฮียจะว่าไง”
“ตกลงเลยไอ้น้อง สบาย เราคนกันเองอยู่แล้วล่ะ”
เถ้าแก่วัยยังหนุ่มอยู่มากตกลงง่ายดาย ผมเองก็หวังว่าเมื่อแต่งงานแล้วพ่อของตะวันคงให้เงินผูกข้อไม้ข้อมือมาบ้างจึงคิดเอาเงินของหลวงพ่อไปแต่งงานก่อน ตะวันเคยบอกผมว่า ตอนแต่งงานพี่สาวเธอ พ่อยังคืนสินสอดให้จนหมดทุกบาททุกสตางค์เพื่อให้เอาไปสร้างครอบครัว ผมเลยตัดสินใจเอาเงินหลวงพ่อไปแต่งงานก่อนจะลงมือสร้างเมรุ ช่วงแต่งงานสองวันนั้นผมให้ลูกน้องสามคนลงมือทำงานสร้างเมรุไปก่อน และงานแต่งงานของผมหลวงพ่อก็ไปรดน้ำพุทธมนต์ให้อีกด้วย
ผมไม่ได้เงินค่าสินสอดนั่นคืนเลยสักบาทเดียว เหตุผลจากปากพ่อของตะวันคือ
“ตะวันเป็นลูกคนเล็ก แต่งงานแล้วจะไม่ให้แยกไปสร้างครอบครัวเหมือนพี่สาว จะต้องอยู่บ้านโดยเอาสามีมาอยู่ด้วย ช่วยกันสร้างครอบครัวที่บ้านใหญ่”
ผมหน้ามืด เมื่อไม่มีเงินจะเอาที่ไหนไปซื้อของสร้างเมรุเล่า ความจริงก็บอกเมียไม่ได้ด้วยเพราะตะวันเข้าใจว่าผมมีเงินเก่ามาจากบ้านนอก ไม่ใช่เงินใหม่ของหลวงพ่อที่ท่านให้มาสร้างเมรุ ผมบอกตะวันไม่ได้ที่สุดทางออกก็มีทางเดียวคือเอาของร้านก่อสร้างไปลงก่อน
เพราะความไม่มีเงินทำให้ผมก่อสร้างเมรุราคาสามแสนนั่นได้ในราคาแค่สามหมื่นกว่าๆ เท่านั้น เงินสามหมื่นกว่าๆ นั้นผมได้มากจากการผูกข้อมือของผู้ใหญ่หลายสิบคน ที่มาผูกข้อมือให้ในวันแต่งงาน สำหรับลูกจ้างตะวันเป็นคนหาเงินมาให้เอง
ครับ ผมสร้างเมรุผิดแบบ สร้างโดยใช้ปูนน้อยที่สุด มีทรายมากกว่าปูน เพื่อลดค่าใช้จ่ายนั่นเอง ผมซื้อเหล็กผิดขนาดอีกด้วย ดีว่าหลวงพ่อท่านไม่ได้มาสอดส่องดูแลอะไร งานสร้างเมรุผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมรับงานอื่นด้วยเพื่อหาเงินมาให้เจ้าของร้านอุปกรณ์ก่อสร้าง ซึ่งเงินก็ได้มาในช่วงหลังๆ เรียกว่าชักหน้ามาปะหลังจนได้ทีเดียว
แต่ใจผมก็ไม่ดีเพราะผมรู้เลยว่านั่นคือบาป ผมสร้างผิดแบบ แม้ใช้ได้เผาผีได้ แต่อายุมันคงไม่นานเป็นสิบๆ ปีแน่ ผมนอนไม่หลับมาหลายคืน งานฉลองเมรุใหม่หลวงพ่อท่านจัดอย่างดี แต่น่าแปลกที่นับจากเมรุผิดแบบนั่นเรียบร้อย ชาวบ้านแถบนั้นยังไม่มีใครตายเลยสักคนเดียว
จนเวลาผ่านไปสามเดือน ผมก็ค่อยๆ คลายใจว่าอีกไม่นานผมจะหาเงินมาสร้างเมรุหลังใหม่ให้หลวงพ่อ อาจจะเป็นตอนที่ผมรุ่งเรืองหาเงินได้มากกว่านี้ ผมจะสร้างแน่นอน
ตะวันเริ่มมีอาการอาเจียนเหมือนคนแพ้ท้อง และตะวันก็ท้องจริงๆ ผมดีใจที่เมียท้องจนลืมเรื่องที่ก่อสร้างเมรุผิดแบบไปเลยทีเดียว พ่อตาเองก็เห่อหลานที่เพิ่งจะสองเดือนเท่านั้น
พ่อผมอยู่ขอนแก่นเดินทางมากับแม่เมื่อรู้ว่าลูกสะใภ้ท้องหอลของมาฝากมากมาย ตะวันเองก็ไม่ได้รังเกียจอะไร แม่ผมเลยเอาใจใส่ดูแลอย่างดีพอดีแม่ผมมีอาการไม่ค่อยดีปวดท้องบ่อยๆ และท้องมีอาการบวม ผมจึงพาแม่ไปตรวจหาสาเหตุที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด
แม่เป็นมะเร็งในท้อง ผมตกใจแทบช็อก หมอบอกจะผ่าตัดให้เผื่อจะมีหนทาง หมอบอกเป็นมานานแล้วด้วยไม่ใช่เพิ่งเป็น ผมยอมเสียเงินเพื่อแม่
แม่ยอมให้หมอผ่าตัด แต่แม้จะผ่าตัดเอาก้อนเนื้อร้ายออกไปแล้ว ท้องของแม่ผมก็ยังบวมไม่ลดลงเลย หมอนัดผ่าอีกสามครั้งผ่านไป อาการแม่กลับยิ่งทรุดลงท้องไม่ยอมลดเหมือนจะยิ่งผ่าก็ยิ่งบวม
พ่อเสียใจมากผมรู้พ่อรักแม่มากชีวิตพ่อมีแต่แม่คนเดียวเท่านั้น เมื่อหมอบอกให้พากลับบ้าน ผมเดาได้เลยว่าหมดทางแล้วนอกจากรอวันตายเท่านั้น
พ่อพาแม่ไปรักษาหมอกลางบ้านตามคำแนะนำของพ่อตา เราพากันรักษาแม่อย่างถึงที่สุด แต่แม่ก็ตายจากไปในเวลาอันรวดเร็ว ห้าเดือนเท่านั้นแม่ก็ตาย
พ่อตาจัดงานศพให้แม่ที่วัดข้างบ้านก็วัดที่ผมสร้างเมรุนั่นแหละ แม่ประเดิมเมรุ อนิจจาผมนึกไม่ถึงจริงๆ แปดเดือนผ่านไปไม่มีคนในหมู่บ้านตายเลย แม่เป็นคนแรก
พ่อผมบ้าคลั่งแทบจะจำอะไรไม่ได้ ร้องหาแต่แม่เพราะความเสียใจสุดชีวิต
“แม่เอ็งต้องบ่ตาย มันต้องบ่ตายบักหมาน”
“พ่อต้องทำใจนะครับ แม่ตายแล้ว ตายแล้วจริงๆ”
ผมสงสารพ่อแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ ศพแม่ในโลงทองตั้งตรงหน้าผู้คนมาช่วยงานกันมากมาย ต่างโจษขานกันเรื่องศพแรกของเมรุวัดนี้
เมรุใหม่ได้เผาคนต่างถิ่น เป็นเรื่องที่น่าพูดถึงเสียยิ่งนัก
บังสุกุลเรียบร้อย สัปเหร่อจัดการทุกอย่าง ชาวบ้านเดินเรียงรายขึ้นไปวางดอกไม้จันทน์ให้แก่ศพแม่ ตะวันคนท้องห้ามเผา ผมเห็นตะวันยืนร้องไห้เงียบๆ ด้วยความสงสารทั้งแม่และตัวผมนั่นแหละ
พ่อผมสลบไปแล้วเมื่อผมเดินขึ้นไปจุดไฟเป็นคนแรก พ่อตาคอยต้อนรับแขกเหรือที่มาร่วมงานทุกคนรู้จักพ่อตาทั้งนั้น ที่มาก็เพราะพ่อตาผมด้วยนั่นแหละ
ผมถอยมายืนข้างเมีย พ่อฟื้นแล้วนั่งร้องไห้เงียบๆ เมื่อควันไฟพวยพุ่งสู่ท้องฟ้า สัปเหร่อยังคงยืนระวังเปลวไฟอยู่บนนั้น
และฉับพลันนั่นเอง เสียงดังๆ อย่างหนึ่งก็ครืนครั่น
คุณพระช่วย เมรุล่มลงมาไฟไม่ทันดับปล่องควันไฟค่อยๆ ทรุดลงมากองบนฐานเมรุ ฝุ่นสีดำกระจายคลุ้งไปหมด ผู้คนหวีดร้องวี๊ดว้ายต่างวิ่งหนีกันอลหม่านไปหมด
“เมรุพับ เฮ้ย”
เสียงใครคนหนึ่งตะโกนดังๆ ชาวบ้านหลายคนในชุดำยืนนิ่งงันกับภาพตรงหน้า ผมเองก็เข่าอ่อนใจวับหายไปแล้ว
ผมโดนลากไปที่กุฎิหลวงพ่อ เจ้าหน้าที่สองนายจับกุมผมอย่างแน่นหนา สวมกุญแจมือฉับอย่างว่องไว กรรมการวัดหลายคนชี้หน้าผมอย่างโกรธจัด
“มันโกงเงินวัดโกงอย่างน่าละอาย มันสร้างเมรุผิดแบบ”
“ถุง ไอ้ระยำ มันพ้นกรรมไหมล่ะ เมรุสากกะเบืออะไรวะ เผาแม่ตัวเองยังไม่ไหม้เลยเวร เชื่อรึยังว่านี่เพราะเวรกรรมน่ะ”
ผมก้มหน้า อนิจจาลูกเป็นช่างก่อสร้าง แต่สร้างเมรุเผาแม่ไม่ไหม้ ผมมองไปทางนั้นชาวบ้านหลายคนช่วยกันคุ้ยศะแม่มาจัดการเผาใหม่อย่างตามมีตามเกิดบนเมรุเก่าที่พังไปแล้ว ที่สุดร่างแม่ก็ไหม้จนได้มีพระหลายองค์ช่วยสวดวิญญาณให้แม่ ในขณะที่พ่อถูกหามส่งโรงพยาบาล
ผมถูกดำเนินคดี ผมทนรับกรรมอย่างสะเทือนใจอยู่ในคุก ไม่ได้รับรู้ว่าลูกที่เกิดมาเป็นชายหรือหญิง พ่อเป็นอย่างไรบ้าง ตะวันเงียบหายไปเลย ไม่มีข่าวคราวไม่ไปเยี่ยมผม
ห้าปีผ่านไปแล้วผมออกจากคุกกลับบ้านขอนแก่น พบว่าพ่อเป็นบ้าไปแล้ว มีคนเล่าให้ฟังว่าเมียได้ลูกเป็นชาย ส่วนพ่อผมนั้นตะวันเอาไปรักษาที่กรุงเทพฯ นานหลายเดือนก็ไม่หายจึงส่งกลับมาอยู่ขอนแก่นบ้านเก่าผมก้มหน้าทำนามองหน้าเพื่อนฝูงไม่ได้เลยจนวันนี้
ผมคิดถึงตะวันมาก อยากไปหา อยากเห็นหน้าลูก
แต่คนอย่างผม คงสู้หน้าใครเขาไม่ได้แล้ว จนชั่วชีวิตเลยทีเดียว เวลาผมนอนหลับตาลงครั้งใดภาพเมรุถล่มทลายลอยเด่นอยู่ตรงหน้า ตรงความรู้สึกที่เจ็บปวดบทเรียนครั้งนี้ราคาแพงเสียยิ่งกว่าชีวิตอีกครับ
ในความมืดผมไม่รู้ว่าสีผิวหน้าตาเขาเป็นอย่างไร...เห็นเพียงเครื่องแต่งกายสวมใส่เหมือนกันก็คิดว่าใช่...ฆ่าผิดตัวในครั้งนั้น...มันทรมาทรกรรมผมมาก...ยากลบกรรม !
วัยรุ่น วัยคึกคะนอง วัยที่อยากสร้างปมเด่นให้ใครต่อใครได้สนใจในตัวเอง วัยที่มีแต่ความร้อนรุ่ม ทำอะไรมักไม่ค่อยนึกถึงผลได้ผลเสียในวันข้างหน้า
จนบางครั้ง อนาคตต้องดับวูบลงเพราะความไม่ยั้งคิด ดังเช่นตัวผมเองเป็นตัวอย่าง
ผมเกิดในกรุงเทพฯ นี่เอง แต่บั้นปลายชีวิตต้องไปใช้ชีวิตในชนบทที่ค่อนข้างห่างไกลความเจริญ ต้องมาปักหลักในท้องไร่ท้องนา เวิ้งว้าง
ชีวิตผมคงใกล้จะดับในไม่ช้านี้แล้ว
มันเจ็บ มันปวด ทรมานนานหลายปี และผมก็รู้ดีว่า อีกไม่ช้าผมคงต้องตายเป็นแน่
ลูกชายที่นั่งอยู่ข้างเตียง คอยจดจำคำพูดเรื่องราวต่างๆ ที่พร่างพรูออกจากปากผม
ผมต้องการสอนลูกเป็นครั้งสุดท้าย
และสอนทุกคนที่อยู่ในวัยรุ่น ซึ่งครั้งหนึ่งผมก็เคยอยู่ในวัยนี้ วัยที่ความร้อนแรงแทรกอยู่ทุกอณูของร่างกาย
เพราะความใจร้อนไม่ยั้งคิดนี่เองทำให้ชีวิตผมต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
ผมเป็นคนตัวเล็กและผอม แต่ร่างกายก็แข็งแกร่ง ใครๆจึงพากันเรียกผมว่าไอ้เตี้ย ในขณะนั้นผมเรียนอยู่โรงเรียนช่างกลแห่งหนึ่ง สมัยนั้นความเจริญยังเทียบไม่ได้กับสมัยนี้ที่มีดิสโก้เธค มีบาร์ และสถานเริงรมย์ ที่แย่งกันผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด
คงมีเพียงโรงภาพยนตร์ที่มีอยู่ไม่กี่โรง ซึ่งบรรดาวัยรุ่นก็ไม่ค่อยสนใจที่จะเข้าไปมั่วสุมนั่งชมภาพยนตร์กันเท่าใดนัก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นแหล่งมั่วสุมมักจะเป็นร้านกาแฟปากซอย ที่นิยมกันมากที่สุด ไม่ใช่เหล้า แต่เป็นน้ำอัดลม
น้ำอัดลม ที่แข่งกันโฆษณา แข่งกันออก มากมายหลายยี่ห้อ จนพวกวัยรุ่นเอามาตั้งชื่อ แก๊งและจะกินน้ำอัดลมชนิดนั้นจนเป็นสัญลักษณ์ของแก๊ง ไปเลยที่เดียวเช่น พวก แดง เฮาดี้ ส้มไบเล่ ดำซาสี่ อย่างนี้แหละ
ที่ไม่นิยมดื่มเหล้าเพระว่า ในสมัยนั้น เหล้าประเภทดีๆ อย่างแม่โขง หงส์ทอง กวางทอง ยังไม่มี คงมีแต่เหล้าโรงที่ร้อนแรงและบาดคอรสชาติก็สุดพรรณนา
นักเรียนอาชีวะ ก็จะนุ่งกางเกงขาสั้น เสื้อขาว รองเท้าผ้าใบ ยังไมเป็นกางเกงขายาว รองเท้าหนัง เช่นปัจจุบัน
รถเมล์ก็มักจะจำกันเป็นสี เช่น เมล์แดง เมล์เขียว เมล์ขาว อย่างนี้ ไม่ต้องจำสายให้ยุ่งยาก
ที่นิยมอีกอย่างของพวกวัยรุ่นประเภท เก๋าหน่อยก็คือ “กัญชา” ซึ่งไม่ค่อยห้ามกันเท่าใดนักเพราะ ยังไม่รู้ถึงโทษของมันที่ให้แก่ผู้เสพ เราจะเรียกพวกนี้ว่า พวกนี้มาจาก กระพี้ ที่เป็นแก่นของเนื้อไม้ที่แข็งมาก พวกนี้มักจะมีอายุสักหน่อยจึงแข็งแรงกว่า เราเลยเรียกสั้นๆว่า พวกพี้
ดนตรีที่นิยมจัด ก็จะเป็น ดนตรีร็อคที่ร้อนแรงทั้งจังหวะ ลีลาการเต้น และไฟในตัวที่ลุกโพลงจากเสียงดนตรีที่แผดเสียงกระหึ่มก้อง
การยกพวกตีกันนั้นมีกันเป็นประจำ ทั้งๆ ที่เราดื่มกินกันแค่ น้ำอัดลม ไม่ใช่น้ำเปลี่ยนนิสัยที่จะทำให้ขาดสติได้ง่ายเลย แต่มันก็รุนแรงและมีกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน ดูออกจะน่ากลัวทีเดียว เพราะกินแค่น้ำอัดลมก็ยังเกิดเรื่องตีรันฟันแทงกันได้
และที่ฮิตติดอันดับของพวกที่ชอบมีเรื่องยกพวกตีกันก็คือ ระเบิดขวด ที่ทำกันแบบง่ายๆ เพียงแค่รู้สูตรการผสมดินระเบิดเท่านั้น ก็สามารถทำได้แล้ว
ผมกับพวกเพื่อนก็นับว่าเป็นเด็กเกเรเหมือนกัน การยกพวกไปตีกับเด็กโรงเรียนอื่นก็มีประจำไม่เคยขาด และหากใครถูกจับได้ก็จะไม่ซัดทอดด้วย ทุกคนต่างพร้อมใจกันแก้ตัวแบบเดียวกันหมด คือ นอนอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ได้ไปไหน ยิ่งถ้าจับใครไม่ได้ก็เอาความผิดกับเราไม่ได้เลย เพราะเด็กทุกโรงเรียนจะแต่งกายเหมือนกันหมด คือ เสื้อขาว กางเกงขาสั้นสีดำ รองเท้าผ้าใบ ทำให้ยากแก่การจดจำและดูเหมือนกันไปหมด
และวันหนึ่ง วันที่ผมต้องจดจำไปชั่วชีวิตว่าเหตุการณ์ในวันนั้นทำให้อนาคตผมดับวูบ ชีวิตต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย
ผมนั่งดื่มน้ำอัดลมอยู่ในร้านกาแฟคนเดียวขณะรอเพื่อนอยู่ ก็มีชายคนหนึ่งใส่เสื้อสีแดง เขามานั่งกินน้ำอัดลมอยู่ข้างๆผม เขาทั้งตัวใหญ่และก็ดำด้วย แต่ดันใส่เสื้อแดงสด แสบตา ผมจึงหัวเราะ เขาก็เลยด่าผม
“หัวเราะหา...ห่าอะไรวะ”
“กูหัวเราะ เพราะเพิ่งเคยเห็นควายใส่เสื้อสีแดงว่ะ”
เท่านั้นเอง เขาก็ลุกขึ้นมาซัดเปรี้ยงด้วยกำปั้น เข้าสู่ใบหน้าผมทันที
ผมกระโดดเข้าไปทันที ทั้งเตะ ทั้งชก แต่รูปร่างผมเล็กนิดเดียว จึงสู้เขาซึ่งมีรูปร่างใหญ่กว่าไม่ได้
“เออ.....เอ็งแน่จริง รอกูอยู่นี่นะ”
ผมชี้หน้าแล้ววิ่งหนีไปทันที
ผมวิ่งหน้าตาบวมปูด เข้าไปหากลุ่มเพื่อนที่กำลังพี้กันอยู่ และเล่าเรื่องพร้อมกับชวนกันไปยำไอ้คนใส่เสื้อแดง ที่ทำให้ผมเจ็บตัว
พวกผมวิ่งตรงไปที่ร้านอาโก แต่ก็ไม่เห็นคนใส่เสื้อแดงนั้นเสียแล้ว อาโกก็กำลังจะปิดร้าน เพราะเป็นเวลาสามทุ่มแล้ว
พวกผมจึงเดินลึกเข้าไปในซอยเพื่อตามหาคนใส่เสื้อแดงนั่น
แสงเดือนที่สาดส่องมาพอให้เห็นเป็นเงาสลัว แต่ก็กระจ่างในยามค่ำคืนนั้น
“เฮ้ย มันอยู่นั่น”
ผมร้องตะโกนขึ้นพร้อมกับวิ่งเข้าไปหาทันที
พอถึงตัวผมก็กระชากให้หันกลับมาทันที
“เฮ้ย มึงทำกูเจ็บแล้วจะหนีงั้นเรอะ”
ผมคำรามใส่พร้อมกับลั่นหมัดเข้าสู่ใบหน้านั้นทันทีอย่างถนัด
“เปล่า พี่ผมไม่ใช่นะ ผมไม่เคยมีเรื่องกับพี่เลย”
เพื่อนผมไม่ฟังเสียง เงื้อไม้ที่ถือมาด้วย หวดใส่เต็มแรง
“ผลัวะ โอ๊ย”
เมื่อไม้คมแฝกกระทบแผ่นหลังตามด้วยเสียงร้องอย่างเจ็บปวด
คนถูกตีล้มลงกองอยู่กับพงหญ้าข้างทาง นอนตัวงอกุมหลัง
“พี่จำคนผิดนะ ผมไม่เคยมีเรื่องกับพี่เลย”
เขาร้องบอกพร้อมกับยกมือไหว้อย่างประหลกๆ
แต่ความโกรธแค้นบวกกับความใจร้อน ทำให้ผมไม่สนใจฟัง อีกทั้งความมืดก็ทำให้เห็นหน้าไม่ชัด แต่ผมจำเสื้อสีแดงนั้นได้อย่างแม่นยำ ไม่ผิดแน่!
ผมชักมีดออกมาจากด้านหลัง มันขาวแวววับในความมืด คนใส่เสื้อแดงเมื่อเห็นก็พยายามดิ้นรนอย่างสุดฤทธิ์ปากก็ร้องว่า ไม่ใช่ผม ไม่ใช่ผม
ขณะนั้นผมหูอื้อ ตามัวไปหมดแล้วด้วยความเจ็บแค้น ผมสวนมีดเข้าไปที่ท้องของเขาอย่างแรง
“ส้วบ โอ๊ก....”
เสียงร้องโหยหวนเหมือนควายถูกเชือดทีเดียว
แล้วผมก็ชักมีดออกมา กระซวกเข้าไปอีกหน ร่างนั้นก็ลงนอนกองพับพื้นทันที แต่เขายังดิ้นรนด้วยความเจ็บปวดเยี่ยงปลาถูกทุบหัว ซึ่งรู้ว่ามันจะต้องพยายามเป็นครั้งสุดท้าย ไม่งั้นจะต้องจบสิ้นชีวิตแน่ๆ
ผมกำด้ามมีดด้วยมือทั้งสอง ผินให้ด้านคมมีดไปทางซ้าย พร้อมกับวาดมือทั้งสองทวนเข็มนาฬิกาไปอย่างช้าๆ จนใบมีดกระทบเข้ากระดูกเชิงกราน
“โอ๊ว....”
เสียงโหยหวนครั้งสุดท้ายดังออกจากปาก
ผมกระชากมีดขึ้นมาพร้อมกับหน้าท้องนั้นเปิดออกมากับขดไส้ที่ทะลักเป็นเส้นขาวตะปุ่มตะป่ำลงมากองอยู่ข้างๆ ร่างนั้นทันที
เหงื่อที่ผุดขึ้นมาเต็มใบหน้าได้ไหลเข้าไปนัยน์ตา ทำให้แสบ ผมจึงวาดมือขึ้นปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก เมื่อมองที่มือก็เห็นเลือดเหนียวข้นติดมือเต็มและมีด
ผมขว้างมีดออกไปทันที แล้วก้มลงเช็ดมือกับหญ้าใกล้ๆ กัน
“เฮ้ย ไปกัน”
พวกผมเดินกลับออกไปทางปากซอยที่วิ่งกันมา คงปล่อยให้ร่างไร้วิญญาณนั้นอยู่ในพงหญ้ารอคนมาพบเห็นในวันรุ่งขึ้น
หนังสือพิมพ์ลงข่าวกันอย่างครึกโครม ถึงการฆาตกรรมคว้านท้อง
ผมหยิบขึ้นมาดูฉบับหนึ่ง
แต่แล้ว ใจผมก็วูบขึ้นมา
เมื่อมองภาพใบหน้านั้นอย่างเพ่งพิศ
ผู้ตายเป็นชายหน้าตาดี ซึ่งผิดกับคนที่มีเรื่องชกต่อยผม ผิวของเขาค่อนข้างขาว ซึ่งคนที่ผมชกต่อยกับเขา ผิวดำ ดำจนออกเกรียม
ในความมืดมนผมไม่อาจทราบได้ว่า สีผิวของเขาเป็นอย่างไร หน้าเขาก็เห็นไม่ชัด คงคิดแค่ว่าเป็นคนๆ เดียวกันจากเสื้อยืดสีแดงกับกางเกงยีนส์ ซึ่งบังเอิญคนทั้งสองใส่ชุดแบบเดียวกันสีเดียวกันเสียด้วย
แล้วคนที่ชกต่อยกับผมล่ะ
ไอ้คนใส่เสื้อแดงนั้น
ยังไม่ตาย
แต่คนที่ตาย กลับเป็นอีกคนหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่คนที่ชกกับผมในร้านอาโกเลย
ผมฆ่าผิดตัว
ผมจะทำยังไงดี
เอาเถอะน่า เวลานั้นไม่มีใครเห็นนี่นา คงไม่เป็นไรหรอก
ไหนๆ ก็ทำไปแล้วนี่
จะกลับไปทำไม
เมื่อผมใคร่ครวญดีแล้ว คิดว่า ขณะที่ผมฆ่าชายผู้นั้น คนที่ฆ่าผิดตัว คงไม่มีใครเห็นเป็นแน่ ผมจึงไปเรียนหนังสือตามปกติ
ด้วยความชะล่าใจ ผมเดินเข้าโรงเรียนไปหาเพื่อนอีกห้าคนที่ถูกจับก่อนแล้ว
พ่อกับแม่มาเยี่ยมผมพร้อมกับคำตัดขาด พ่อแม่ลูกทันที เพราะผมมันเลวระยำทั้งติดกัญชา ไม่เคยกลับบ้าน เที่ยวตีรันฟันแทงกับคนอื่นอยู่บ่อยๆ จนพ่อแม่เอือมระอาเหลือจะทน
และครั้งนี้ผมฆ่าคนตาย
แบบ “ฆ่าติดตัว”ด้วย
พ่อแม่ไม่มาช่วยผมอีกต่อไปอีก
ผมต้องติดคุกตามกรรมที่ก่อไว้
หลังจากนั้นเป็นเวลานานถึงสิบกว่าปีที่ผมชดใช้กรรมในคุก
วันที่ผมได้รับอิสรภาพ ไม่มีใครเลยที่ให้ผมไปอยู่ด้วย แม้กระทั่งพ่อแม่ก็ตัดขาดไม่ยอมให้ผมเข้าบ้าน
ผมกลับตัวได้แล้ว
แต่ผมจะทำงานอะไรไม่ได้ ในเมื่อผมเป็น
คนขี้คุก
ฆ่าคนตาย
ไม่มีใครรับผมเข้าทำงานเลย
ผมจึงหนีไปอยู่จังหวัดกาญจนบุรี ไปรับจ้างตัดเก็บข้าวโพด เป็นลูกจ้างไร่ข้าวโพด ก็พอมีพอกินไปวันๆ
จากนั้นผมก็พยายามสร้างตัว สร้างฐานะ หักร้างถางพงทำไร่ข้าวโพดเองจนพอมีที่ทำกิน ที่อยู่อาศัยบ้าง
ผมมีครอบครัว แต่งงานกับลูกสาวชาวป่า ชาวเขาในท้องถิ่นนั้น จนบัดนี้ผมมีลูก 3คน เป็นลูกสาวสองคน ลูกชายคนหนึ่ง
คนที่กำลังเขียนเรื่องที่ผมบอกให้แกเขียนอยู่นี่แหละ
ในช่วงเวลาสามสี่ปีที่ผ่านมานี้เอง
ผมก็ป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ
ผมเริ่มปวดท้องบ่อยๆ โดยไม่ทราบว่าเป็นอะไร มันรู้สึกเหมือนมีอะไรเข้าไปกัดไส้พุง มันเสียดเสียว เจ็บแปลบ มากขึ้นทุกวัน
จนบางครั้ง มันปวดทรมานมากซะจนหายใจไม่ออก
ผมไปรักษากับหมอต่างๆ มากมาย ทั้งหมอแผนปัจจุบันและหมอแผนโบราณก็ยังไม่หายสักที
จนขณะนี้ มันปวดมากขึ้น มากขึ้นจนผมรู้ว่า ชีวิตผมคงจะแตกดับในไม่ช้านี้
เพราะลางแห่งความตายได้เคลื่อนเข้าครอบงำผมทั้งยามหลับและยามตื่น
ยามหลับก็ฝันเห็นแต่คนที่ผม
ฆ่าผิดตัว
มาทวงชีวิตจากผม
ยามตื่นก็มองอะไรรอบข้างรางเลือนไปหมด มันเหมือนมีดาวระยิบระยับอยู่รอบกายผมไปทั่ว
แต่ผมไม่เสียดายชีวิตตัวเองหรอกครับ
ผมเคยทำบาปกับเขาไว้ บาปนั้นได้คืนสนองผมแล้ว
ดีเหมือนกัน หากผมตายจะได้ไม่ต้องให้ใครมากังวลกับโรคปวดท้องของผม
จะได้สิ้นเวรกรรมกันไปทีสำหรับชาตินี้
แต่ผมยังกังวล ยังห่วงใย
กังวล ห่วงใย ในตัวลูกที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่นเหมือนในยุคผม
ในยุควัยรุ่นของผม ที่ทำให้ผมหมดอนาคตด้วยความใจร้อน ด่วนตัดสินใจโดยไม่คิดถึงผลได้ผลเสีย
ผมจึงให้ลูกชายที่มีอายุ 18 แล้ว คนนี้ได้รับรู้ถึงความผิดพลาดเมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่นของพ่อ
รวมทั้งวัยรุ่นคนอื่นๆ ที่อาจจะได้อ่านพบ
ผมจึงให้ลูกเขียนส่งมายัง “ชีวิตรัก” ได้พิมพ์เผยแพร่ให้คนอื่นๆ ที่อยู่ในวัยรุ่นหรือมีลูกอยู่ในวัยรุ่น
ได้รับรู้
จะได้ป้องกันได้
ไม่ให้พวกเขาได้ทำผิดเช่นผม
ถึงแม้จะไม่ถูกลงโทษด้วยกฎหมาย
ก็จะถูกกรรมตามมาลงโทษ
หรือ อาจจะถูกทั้งกฎหมายลงโทษและตามด้วย กรรม ที่ตามมาลงโทษอีก เช่นผมก็ได้
Muekdum
Copyright © 2023 Muekdum’s Work - All Rights Reserved.
Powered by GoDaddy
We use cookies to analyze website traffic and optimize your website experience. By accepting our use of cookies, your data will be aggregated with all other user data.